สังคมไทยในปัจจุบันเต็มไปด้วยข่าวสารที่หลั่งไหลมาอย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งจากสื่อหลักและโดยเฉพาะสื่อออนไลน์ที่ใครๆ ก็สามารถเป็นผู้เล่าเรื่องได้ การแชร์โพสต์หนึ่งครั้ง การส่งต่อข้อความหนึ่งบรรทัด อาจกลายเป็นการขับเคลื่อนความคิด ความเชื่อ หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจของผู้คนจำนวนมากในชั่วพริบตา

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ หลายครั้งคนเรามักจะ “เชื่อทันที” โดยไม่เคยตั้งคำถามว่า สิ่งนี้จริงแท้เพียงใด? หรือ ข้อมูลนี้มาจากไหน? เมื่อความเชื่อที่ไม่ได้ผ่านการไตร่ตรองถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ จากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย สิ่งที่เริ่มต้นจาก “เพียงคำพูด” อาจบานปลายเป็น “อาวุธทางสังคม” ที่ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว

 

เรามักลืมไปว่า การส่งต่อข้อมูลที่ผิดพลาดไม่ได้เพียงทำให้ใครบางคนเสียหายเท่านั้น แต่มันยังทำลายความน่าเชื่อถือของสังคมทั้งระบบ บางกรณี ข่าวลืออาจสร้างความตื่นตระหนก เศรษฐกิจเสียหาย เกิดความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคน หรือกระทั่งทำให้ชีวิตใครบางคนไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้อีก

 

คำถามสำคัญคือ: เมื่อข่าวผิดๆ ถูกแพร่กระจายจนเกิดความเสียหาย ใครกันที่จะรับผิดชอบ?

 

ผู้ที่เริ่มปล่อยข่าวลือ?

 

ผู้ที่แชร์ต่อโดยไม่ตรวจสอบ?

 

หรือสังคมทั้งหมดที่ยอมรับ “การเชื่อโดยไม่คิด” เป็นเรื่องปกติ?

 

 

ความจริงก็คือ ความรับผิดชอบไม่ได้อยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นภาระร่วมกัน หากแต่ละคนไม่เริ่มต้นที่ตัวเอง ไม่หัดหยุดคิดตั้งคำถาม ไม่หัดตรวจสอบก่อนส่งต่อ สังคมก็จะวนเวียนอยู่ในวังวนของความเข้าใจผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ท้ายที่สุด ความเชื่อไม่ใช่เรื่องผิด แต่การเชื่ออย่างไม่ใช้เหตุผลและไม่แสวงหาความจริงต่างหากที่เป็นภัยร้ายแรงที่สุด และเมื่อความเสียหายเกิดขึ้น มันอาจไม่มีใครเลยที่จะรับผิดชอบได้อย่างแท้จริง นอกจาก “ตัวเราเอง” ที่เป็นผู้เลือกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ