#ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ#ภูมิคุ้มกัน#ยา#เบาหวาน#ความดัน#ไขมัน#มะเร็ง
- 26 pessoas curtiram isso
- 11 Publicações
- 10 fotos
- 0 Vídeos
- 0 Anterior
- Outro
Atualizações Recentes
- #งูสวัด (Herpes Zoster) เกิดจากไวรัส Varicella Zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากอีสุกอีใสแล้ว ไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาก่อโรคใหม่ได้เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง โดยมักเกิดเป็นผื่นแสบ ๆ ปวดจี๊ด ๆ ตามแนวเส้นประสาท เช่น บริเวณชายโครง ใบหน้า หรือแขนขา
วิธีดูแลรักษาโรคงูสวัด
1. การรักษาทางการแพทย์
- ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir หรือ famciclovir ควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีผื่น เพื่อช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค
- ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือในบางรายอาจใช้ยาแก้ปวดปลายประสาท เช่น gabapentin
- ยาทาเฉพาะที่ เพื่อบรรเทาอาการคันหรือแสบ เช่น คาลามีนโลชั่น
2. การดูแลตนเองที่บ้าน
- รักษาความสะอาดบริเวณผื่น หลีกเลี่ยงการเกา
- สวมเสื้อผ้าที่หลวม ระบายอากาศได้ดี
- พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด
- งดใช้สบู่หรือโลชั่นที่มีสารเคมีแรงบริเวณผื่น
3. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน
- หากมีอาการปวดปลายประสาทเรื้อรัง (Postherpetic Neuralgia) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
4. การป้องกันล่วงหน้า
- มีวัคซีนป้องกันงูสวัด เช่น วัคซีน Shingrix สำหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ
ปรึกษาโทร 0819091989#งูสวัด (Herpes Zoster) เกิดจากไวรัส Varicella Zoster ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากอีสุกอีใสแล้ว ไวรัสจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท และสามารถกลับมาก่อโรคใหม่ได้เมื่อภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง โดยมักเกิดเป็นผื่นแสบ ๆ ปวดจี๊ด ๆ ตามแนวเส้นประสาท เช่น บริเวณชายโครง ใบหน้า หรือแขนขา 🩺 วิธีดูแลรักษาโรคงูสวัด 1. การรักษาทางการแพทย์ - ยาต้านไวรัส เช่น acyclovir, valacyclovir หรือ famciclovir ควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังเริ่มมีผื่น เพื่อช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาของโรค - ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล หรือในบางรายอาจใช้ยาแก้ปวดปลายประสาท เช่น gabapentin - ยาทาเฉพาะที่ เพื่อบรรเทาอาการคันหรือแสบ เช่น คาลามีนโลชั่น 2. การดูแลตนเองที่บ้าน - รักษาความสะอาดบริเวณผื่น หลีกเลี่ยงการเกา - สวมเสื้อผ้าที่หลวม ระบายอากาศได้ดี - พักผ่อนให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงความเครียด - งดใช้สบู่หรือโลชั่นที่มีสารเคมีแรงบริเวณผื่น 3. การป้องกันภาวะแทรกซ้อน - หากมีอาการปวดปลายประสาทเรื้อรัง (Postherpetic Neuralgia) ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง - หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่ไม่เคยเป็นอีสุกอีใส โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ 4. การป้องกันล่วงหน้า - มีวัคซีนป้องกันงูสวัด เช่น วัคซีน Shingrix สำหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ปรึกษาโทร 08190919891 ความคิดเห็น 0 แชร์ 187 ยอดวิว 0 รีวิว
4
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อ โพส ไลค์ แชร์ และแสดงความคิดเห็น สร้างรายได้ไปกับเมตตานารวย - #โรคภูมิแพ้อากาศ สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งแบบธรรมชาติและทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้หายใจโล่งขึ้นและลดอาการรบกวนในชีวิตประจำวัน นี่คือแนวทางหลักที่แนะนำ:
วิธีดูแลรักษาและบรรเทาอาการภูมิแพ้อากาศ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น
- ปิดหน้าต่างในช่วงที่มีฝุ่นหรือเกสรดอกไม้มาก
- ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน
- หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สัตว์เลี้ยงที่มีขน หากแพ้ขนสัตว์
2. ทำความสะอาดสภาพแวดล้อม
- ซักผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน และพรมบ่อย ๆ
- ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝุ่นแทนการปัด เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
3. ปรับพฤติกรรมส่วนตัว
- อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังกลับจากข้างนอก
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ซึ่งอาจกระตุ้นอาการแพ้ได้
4. ใช้ยาเมื่อจำเป็น
- ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เช่น ลอราทาดีน หรือเซทิริซีน
- สเปรย์พ่นจมูกที่มีสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ
- หากอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง
5. ทางเลือกเสริม
- แพทย์แผนไทยแนะนำการใช้สมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร หรือขิง
- ฝึกโยคะหรือหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:
- โรงพยาบาลกรุงเทพ
- GED Good Life
- Poonrada
#โรคภูมิแพ้อากาศ สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งแบบธรรมชาติและทางการแพทย์ เพื่อช่วยให้หายใจโล่งขึ้นและลดอาการรบกวนในชีวิตประจำวัน 🌿💨 นี่คือแนวทางหลักที่แนะนำ: 🩺 วิธีดูแลรักษาและบรรเทาอาการภูมิแพ้อากาศ 1. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น - ปิดหน้าต่างในช่วงที่มีฝุ่นหรือเกสรดอกไม้มาก - ใช้เครื่องฟอกอากาศในบ้าน - หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้สัตว์เลี้ยงที่มีขน หากแพ้ขนสัตว์ 2. ทำความสะอาดสภาพแวดล้อม - ซักผ้าปูที่นอน ผ้าม่าน และพรมบ่อย ๆ - ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดฝุ่นแทนการปัด เพื่อไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย 3. ปรับพฤติกรรมส่วนตัว - อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังกลับจากข้างนอก - ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น - พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ซึ่งอาจกระตุ้นอาการแพ้ได้ 4. ใช้ยาเมื่อจำเป็น - ยาแก้แพ้ (Antihistamines) เช่น ลอราทาดีน หรือเซทิริซีน - สเปรย์พ่นจมูกที่มีสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ - หากอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาเฉพาะทาง 5. ทางเลือกเสริม - แพทย์แผนไทยแนะนำการใช้สมุนไพร เช่น ฟ้าทะลายโจร หรือขิง - ฝึกโยคะหรือหายใจลึก ๆ เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม: - โรงพยาบาลกรุงเทพ - GED Good Life - Poonrada1 ความคิดเห็น 0 แชร์ 172 ยอดวิว 0 รีวิว
5
- Você deve inserir a URL de notificação
- #โรคหัวใจ
โรคหัวใจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และการดูแลรักษาก็มีหลายแนวทางที่ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลครับ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ๆ ดังนี้:
การรักษาทางการแพทย์
- การใช้ยา เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
- การผ่าตัดหรือหัตถการ เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน การใส่ขดลวด (Stent) หรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ
- การตรวจติดตาม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (Echo), หรือการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย
การดูแลตนเองและปรับพฤติกรรม
- ควบคุมอาหาร ลดไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม เพิ่มผัก ผลไม้ และปลา เช่น ปลาทะเลที่มีโอเมก้า-3
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน
- เลิกสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์ เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบ
- จัดการความเครียด ด้วยการทำสมาธิ พักผ่อนให้เพียงพอ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย
การป้องกันและตรวจสุขภาพ
- ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง
- ติดตามอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือบวมที่ขาและเท้า
ปรึกษาโทร 081-909-1989#โรคหัวใจ โรคหัวใจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย และการดูแลรักษาก็มีหลายแนวทางที่ต้องปรับให้เหมาะกับแต่ละบุคคลครับ โดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 ด้านหลัก ๆ ดังนี้: 🩺 การรักษาทางการแพทย์ - การใช้ยา เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด เพื่อควบคุมอาการและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน - การผ่าตัดหรือหัตถการ เช่น การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน การใส่ขดลวด (Stent) หรือการผ่าตัดบายพาสหลอดเลือดหัวใจ - การตรวจติดตาม เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG), การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียง (Echo), หรือการตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย 🍎 การดูแลตนเองและปรับพฤติกรรม - ควบคุมอาหาร ลดไขมันอิ่มตัว น้ำตาล และโซเดียม เพิ่มผัก ผลไม้ และปลา เช่น ปลาทะเลที่มีโอเมก้า-3 - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือโยคะ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน - เลิกสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์ เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดแข็งและตีบ - จัดการความเครียด ด้วยการทำสมาธิ พักผ่อนให้เพียงพอ หรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย 🧬 การป้องกันและตรวจสุขภาพ - ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ - ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง - ติดตามอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย ใจสั่น หรือบวมที่ขาและเท้า ปรึกษาโทร 081-909-19893 ความคิดเห็น 0 แชร์ 222 ยอดวิว 0 รีวิว
4
- #กลุ่มโรค NCDs
โรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases) คือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ แต่จะค่อย ๆ พัฒนาและสะสมอาการจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในระยะยาว
ตัวอย่างโรคในกลุ่ม NCDs
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
- โรคมะเร็งต่าง ๆ
- โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
- โรคอ้วนลงพุง
- โรคตับแข็ง
- โรคไตเรื้อรัง
สาเหตุหลักของโรค NCDs
ส่วนใหญ่เกิดจาก พฤติกรรมเสี่ยง ที่สะสมในชีวิตประจำวัน เช่น:
- รับประทานอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด หรืออาหารปิ้งย่างบ่อย
- ขาดการออกกำลังกาย
- สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
- นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ความเครียดสะสม
- ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์
วิธีป้องกัน
- ปรับพฤติกรรมการกินให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- งดบุหรี่และแอลกอฮอล์
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ตรวจสุขภาพประจำปี
โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และมักเกิดในวัยทำงานที่ยังมีศักยภาพสูง ดังนั้นการดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาวเลยครับ
ปรึกษาโทร 081-909-1989#กลุ่มโรค NCDs โรค NCDs หรือ โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases) คือกลุ่มโรคที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคและไม่สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ แต่จะค่อย ๆ พัฒนาและสะสมอาการจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตในระยะยาว 🧠 ตัวอย่างโรคในกลุ่ม NCDs - โรคเบาหวาน - โรคความดันโลหิตสูง - โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง - โรคมะเร็งต่าง ๆ - โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) - โรคอ้วนลงพุง - โรคตับแข็ง - โรคไตเรื้อรัง 🔍 สาเหตุหลักของโรค NCDs ส่วนใหญ่เกิดจาก พฤติกรรมเสี่ยง ที่สะสมในชีวิตประจำวัน เช่น: - รับประทานอาหารหวานจัด เค็มจัด มันจัด หรืออาหารปิ้งย่างบ่อย - ขาดการออกกำลังกาย - สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ - นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ - ความเครียดสะสม - ใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ 💡 วิธีป้องกัน - ปรับพฤติกรรมการกินให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ - ออกกำลังกายสม่ำเสมอ - งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ - พักผ่อนให้เพียงพอ - ตรวจสุขภาพประจำปี โรค NCDs เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของคนไทย และมักเกิดในวัยทำงานที่ยังมีศักยภาพสูง ดังนั้นการดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้คือการลงทุนเพื่อสุขภาพในระยะยาวเลยครับ ปรึกษาโทร 081-909-19894 ความคิดเห็น 0 แชร์ 270 ยอดวิว 0 รีวิว
8
- #กลุ่มยาทาน เบาหวานประเภทที่2
ยาเม็ดสำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีหลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติที่สุด มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มมีอะไรบ้าง
กลุ่มยาเม็ดรักษาโรคเบาหวาน
1. กลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas)
- กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น
- ตัวอย่างยา: Glipizide, Glibenclamide, Glimepiride
2. กลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides)
- ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเพิ่มการใช้น้ำตาลในเซลล์
- ตัวอย่างยา: Metformin (นิยมใช้มากที่สุด)
3. กลุ่มไธอะโซลิดีนไดโอน (Thiazolidinediones)
- เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน
- ตัวอย่างยา: Pioglitazone
4. กลุ่มอัลฟ่ากลูโคซิเดสอินฮิบิเตอร์ (Alpha-glucosidase inhibitors)
- ยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรตในลำไส้ ทำให้น้ำตาลเข้าสู่เลือดช้าลง
- ตัวอย่างยา: Acarbose, Voglibose
5. กลุ่มเมกลิทิไนด์ (Meglitinides)
- กระตุ้นการหลั่งอินซูลินแบบเร็วและสั้น
- ตัวอย่างยา: Repaglinide, Nateglinide
6. กลุ่ม DPP-4 inhibitors
- ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมน incretin ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน
- ตัวอย่างยา: Sitagliptin, Vildagliptin
7. กลุ่ม SGLT2 inhibitors
- ขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ
- ตัวอย่างยา: Dapagliflozin, Empagliflozin
หากคุณต้องการเลือกยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น อายุ น้ำหนัก โรคร่วม และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำหรือผลต่อตับและไต
ปรึกษาโทร 081-9091989#กลุ่มยาทาน เบาหวานประเภทที่2 ยาเม็ดสำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีหลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกัน เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงปกติที่สุด มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มมีอะไรบ้าง 🩺 💊 กลุ่มยาเม็ดรักษาโรคเบาหวาน 1. กลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย (Sulfonylureas) - กระตุ้นตับอ่อนให้หลั่งอินซูลินมากขึ้น - ตัวอย่างยา: Glipizide, Glibenclamide, Glimepiride 2. กลุ่มไบกัวไนด์ (Biguanides) - ลดการสร้างน้ำตาลจากตับ และเพิ่มการใช้น้ำตาลในเซลล์ - ตัวอย่างยา: Metformin (นิยมใช้มากที่สุด) 3. กลุ่มไธอะโซลิดีนไดโอน (Thiazolidinediones) - เพิ่มความไวของเซลล์ต่ออินซูลิน - ตัวอย่างยา: Pioglitazone 4. กลุ่มอัลฟ่ากลูโคซิเดสอินฮิบิเตอร์ (Alpha-glucosidase inhibitors) - ยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรตในลำไส้ ทำให้น้ำตาลเข้าสู่เลือดช้าลง - ตัวอย่างยา: Acarbose, Voglibose 5. กลุ่มเมกลิทิไนด์ (Meglitinides) - กระตุ้นการหลั่งอินซูลินแบบเร็วและสั้น - ตัวอย่างยา: Repaglinide, Nateglinide 6. กลุ่ม DPP-4 inhibitors - ยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายฮอร์โมน incretin ซึ่งช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน - ตัวอย่างยา: Sitagliptin, Vildagliptin 7. กลุ่ม SGLT2 inhibitors - ขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ - ตัวอย่างยา: Dapagliflozin, Empagliflozin หากคุณต้องการเลือกยาให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ต้องพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น อายุ น้ำหนัก โรคร่วม และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ภาวะน้ำตาลต่ำหรือผลต่อตับและไต ปรึกษาโทร 081-90919895 ความคิดเห็น 0 แชร์ 344 ยอดวิว 0 รีวิว
11
- #ยาอินซูลิน กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
อินซูลินจะถูกใช้ในผู้ป่วยเบาหวานตามชนิดและระยะของโรคครับ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้:
เบาหวานชนิดที่ 1
- จำเป็นต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย
- เริ่มฉีดตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัย เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคตาเบาหวาน โรคไต และโรคหัวใจ
เบาหวานชนิดที่ 2
- เริ่มต้นอาจไม่ต้องฉีดอินซูลินทันที ใช้วิธีควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และยารับประทานก่อน
- หากควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไตเสื่อมหรือสายตาเริ่มมีปัญหา แพทย์อาจพิจารณาให้เริ่มฉีดอินซูลิน
- การตัดสินใจขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด สุขภาพโดยรวม และดุลยพินิจของแพทย์
ทำไมต้องฉีด ไม่กินยาแทน?
- อินซูลินเป็นโปรตีน หากกินเข้าไปจะถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร
- การฉีดช่วยให้ร่างกายได้รับอินซูลินโดยตรงและควบคุมน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปรึกษาโทร 081-9091989
#ยาอินซูลิน กับผู้ป่วยโรคเบาหวาน อินซูลินจะถูกใช้ในผู้ป่วยเบาหวานตามชนิดและระยะของโรคครับ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้: 🧬 เบาหวานชนิดที่ 1 - จำเป็นต้องฉีดอินซูลินตลอดชีวิต เพราะร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย - เริ่มฉีดตั้งแต่ได้รับการวินิจฉัย เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคตาเบาหวาน โรคไต และโรคหัวใจ 🩺 เบาหวานชนิดที่ 2 - เริ่มต้นอาจไม่ต้องฉีดอินซูลินทันที ใช้วิธีควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และยารับประทานก่อน - หากควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ไตเสื่อมหรือสายตาเริ่มมีปัญหา แพทย์อาจพิจารณาให้เริ่มฉีดอินซูลิน - การตัดสินใจขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือด สุขภาพโดยรวม และดุลยพินิจของแพทย์ 💡 ทำไมต้องฉีด ไม่กินยาแทน? - อินซูลินเป็นโปรตีน หากกินเข้าไปจะถูกทำลายโดยกรดในกระเพาะอาหาร - การฉีดช่วยให้ร่างกายได้รับอินซูลินโดยตรงและควบคุมน้ำตาลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรึกษาโทร 081-90919896 ความคิดเห็น 0 แชร์ 427 ยอดวิว 0 รีวิว
12
- #โรคเบาหวาน กับคุณหมอ https://youtu.be/PCys19kCXaY?si=Ruko0Z-bmsaBQety
4 ความคิดเห็น 0 แชร์ 211 ยอดวิว 0 รีวิว
10
- #ยาปฎิชีวนะคืออะไร?
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) หมายถึง ยาที่ใช้ฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ ไม่สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากไวรัสได้ เช่น ไข้หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่.
จุดเด่นของยาปฏิชีวนะ
- ใช้รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง, ปัสสาวะอักเสบ, แผลติดเชื้อ
- ไม่ช่วยลดไข้ ปวด หรืออักเสบโดยตรง
- ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันการดื้อยา
ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่พบ
| อะม็อกซีซิลลิน | การติดเชื้อทางเดินหายใจ |
| เพนิซิลลิน | โรคติดเชื้อทั่วไป เช่น แผลติดเชื้อ |
| เตตร้าไซคลิน | สิว, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด |
| นอร์ฟล็อกซาซิน | การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ |
| คลินดามัยซิน | การติดเชื้อที่ผิวหนังและกระดูก |
ข้อควรระวัง
- ห้ามซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์
- ต้องกินให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว
- การใช้พร่ำเพรื่ออาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งรักษายากขึ้นในอนาคต
ปรึกษาโทร 081-9091989#ยาปฎิชีวนะคืออะไร? ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) หมายถึง ยาที่ใช้ฆ่าหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะ ไม่สามารถใช้รักษาโรคที่เกิดจากไวรัสได้ เช่น ไข้หวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่. 🧬 จุดเด่นของยาปฏิชีวนะ - ใช้รักษาโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น ทอนซิลอักเสบเป็นหนอง, ปัสสาวะอักเสบ, แผลติดเชื้อ - ไม่ช่วยลดไข้ ปวด หรืออักเสบโดยตรง - ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น เพื่อป้องกันการดื้อยา 💊 ตัวอย่างยาปฏิชีวนะที่พบ | อะม็อกซีซิลลิน | การติดเชื้อทางเดินหายใจ | | เพนิซิลลิน | โรคติดเชื้อทั่วไป เช่น แผลติดเชื้อ | | เตตร้าไซคลิน | สิว, โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์บางชนิด | | นอร์ฟล็อกซาซิน | การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ | | คลินดามัยซิน | การติดเชื้อที่ผิวหนังและกระดูก | ⚠️ ข้อควรระวัง - ห้ามซื้อยามากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ - ต้องกินให้ครบตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว - การใช้พร่ำเพรื่ออาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งรักษายากขึ้นในอนาคต ปรึกษาโทร 081-90919895 ความคิดเห็น 1 แชร์ 418 ยอดวิว 0 รีวิว
14
- 3 ความคิดเห็น 0 แชร์ 117 ยอดวิว 0 รีวิว
11
Mais Stories